Sunday, 12 July 2015

TENSE
         TENSE หรือ กาล กาลเนี้ยเราจะแบ่งเป็น 3 กาลใหญ่ๆ คือ Present tense (ปัจจุบันกาล) Past tense (อดีตกาล) และ Future tense (อนาคตกาล) ถ้าเราจำได้ว่ามี 3 กาลนี้เราก็จะสามารถจำ TENSE ทั้ง 12 TENSE ได้โดยอัตโนมัติ

ตารางโครงสร้างของแต่ละ TENSE





***Present มักจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เหตุการณ์ที่เกิดในขณะพูด เหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำทุกวัน และเป็นเรื่องที่แน่นอนคือรู้ว่าเกิดขึ้นแน่นอนไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เคล็ดลับ เมื่อมีคำว่า Present tense แน่นอนว่าจะมี VERB 1 ปรากฏอยู่เสมอ เพราะ V.1 จะแสดงถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน
เช่น She is singing now. (เธอกำลังร้องเพลงอยู่ตอนนี้)
       The earth goes round the sun. (โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์)
       They go to school every day. (พวกเราไปโรงเรียนทุกวัน)

***Past เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นและจบไปนานแล้ว
เคล็ดลับ เมื่อมี่ VERB 2 ในประโยคก็เดาได้เลยว่าประโยคนี้จะต้องเป็น Past tense แน่นอน แต่จะเป็น Past tense แบบไหนก็ต้องดูโครงสร้างประโยคอีกที
เช่น I met him last week. (ฉันพบเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว)
       She was sleeping all day yesterday. (เมื่อวานนี้เธอนอนตลอดทั้งวันเลย)
       He had finished his work before I arrived. (ก่อนที่ฉันจะมาถึงเขาก็ทำงานของเขาเสร็จแล้ว)

***Future เป็นเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต และมักจะระบุเวลาที่แน่นอน
เคล็ดลับ ถ้าเป็น Future tense ทุกประโยคจะต้องมี will,shell ประกอบอยู่ในประโยคเสมอ
เช่น I will write letters tomorrow. (ฉันจะเขียนจดหมายพรุ่งนี้)
        The bus will not be passing by our house, we have to get off here. (รถประจำทางไม่ผ่านบ้านของพวกเรา พวกเราจึงต้องลงที่นี่)

         The play will have started before we reach the theater. (ละครคงเริ่มแสดงแล้วเมื่อพวกเราไปถึง)
Complex sentence
          เรามาพูดถึง Complex sentence บ้าง เมื่อก่อนเราในความคิดเรา Complex sentence เป็นอะไรที่ยากและซับซ้อนมากเราไม่สามารถเข้าใจได้เลยแม้เราจะพยายามขนาดไหน เพราะเราจับคีย์ของมันไม่ถูกนี่เอง วันนี้เราจะมาอธิบายเรื่อง Complex sentence ให้กลายเป็นเรื่องง่าย
ก่อนอื่นเราอยากให้ทุกคนทราบ Independent clause และ Dependent clause ก่อนน่ะ
เรามีเทคนิคจำง่ายๆเลย   
Independent clause คือ ประโยคบอกเล่าที่สั้นๆแต่เข้าใจ มีองค์ประกอบคือ S+V+O เช่น I love you
Dependent clause คือประโยคบอกเล่าที่พูดยังไงก็ไม่เข้าใจ เช่น We will go
ต่อมาคำที่เป็นคีย์ของประโยค Complex sentence มีดัต่อไปนี้
before , after , because , when , where , while , though , although , if , that , till , until , unless , than , as , since , as if , so , so that
มันคงเย่อะมากสิน่ะ เทคนิคของเราคือเราจำแค่คำที่ใช้บ่อยอ่า before after when since สี่ตัวนี้มักจะเจอบ่อย แต่คำอื่นถ้าจำได้ก็จะดีมากเพราะเราไม่สามารถเดาได้เลยว่าข้อสอบจะมาแนวไหนบ้าง
ต่อไปเราไปดูโครงสร้างกันเถ่อะ

COMPLEX SENTENCE
Independent clause , Dependent clause

พวกคีย์ที่เราบอกไปตอนแรกนั้นจะแทรกอยู่ตรงไหนก็ได้เพราะมันอยู่ได้ทั้งหน้าและหลังประโยค แล้วแต่ความหมายของประโยคนั้นๆ แต่จะต้องมีคำคีย์พวกนั้นอยู่ในประโยคถึงจะเป็น Complex sentence

เช่น After I left school , I decided to come to university.
        Before 9 o’clock , I started learning English.
        I made an important decision after conferred with my parent.





Compound sentence
         ก่อนอื่นเราต้องรู้จัก FANBOYS กันก่อนน่ะ FANBOYS ก็คือคำเชื่อมประโยคสองประโยคเข้าด้วยกันโดยเมื่อเชื่อมแล้วประโยคจะคล้อยตาม ขัดแย้ง และให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งทันที

F A N B O Y S
ความหมาย
ตัวอย่างประโยค
F = for
เมื่อเป็นcompound , complex จะไม่ใช้ความหมายที่แปละว่าเพื่อหรือสำหรับอีก แต่จะใช้ความหมายที่แปละว่าbecause หรือเพราะนั่นเอง โดยการใช้for มักจะใช้ขณะที่ผลเกิดก่อนสาเหตุ
She passed the exam, for she paid attention in the class. (หล่อนสอบผ่านเพราะหล่อนตั้งใจเรียนในห้อง)
A = and
และ ใช้เชื่อประโยคที่คล้อยตามกัน
I like to eat noodles, and I like to eat pizza. ( ฉันชอบกินก๋วยเตี๋ยวและฉันก็ชอบกินพิซซ่าด้วย)
N = nor
มีความหมายเดียวกับ no หรือไม่ แต่ที่สำคัญคือถ้าใช้norแล้วประโยคแรกต้องเป็นปฏิเสธส่วนประโยคหลัง nor ต้องเป็นบอกเล่า
She does not like pork, nor she like chicken. ( หล่อนไม่ชอบเนื้อหมูและหล่อนก็ไม่ชอบเนื้อไก่ด้วย)
B = but
แปลว่าแต่ จะใช้เมื่อประโยคทั้งสองประโยคมีความขัดแย้งกัน
Her brother can’t drive a car, but he can ride a horse. (พี่ชายของหล่อนไม่สามารถขับรถได้แต่เขาสามารถขี่ม้าได้)
O = or
หรือ มักใช้กับระโยคให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
Today we will play badminton, or we will go shopping. (วันนี้พวกเราจะเล่นแบดมินตันหรือไปซื้อของ)
Y = yet
Yet มีความหมายที่คล้ายกับ but ทั้งสองตัวนี้สามารถใช้แทนกันได้เลย แต่ yet จะใช้เมื่อมีความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนและyet นิยมใช้ในภาษาเขียนมากกว่า ส่วน but จะใช้ในภาษาพูด
I will go to a swimming pool, yet It was closed. (ฉันจะไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำแต่มันถูกปิดแล้ว)
S = so
แปลว่าดังนั้น แต่จะใช้เมื่อมีสาเหตุเกิดขึ้นก่อนแล้วมีผลตามมาทีหลัง
Today it is raining, so we can’t go to school. (วันนี้ฝนตกดังนั้นพวกเราจึงไม่ได้ไปโรงเรียน)

       ต่อมาเราต้อมารู้ว่า Independent clause และ Dependent clause คืออะไร จำง่ายๆเลย
Independent clause คือ ประโยคบอกเล่าที่สั้นๆแต่เข้าใจ มีองค์ประกอบคือ S+V+O เช่น I love you
Dependent clause คือประโยคบอกเล่าที่พูดยังไงก็ไม่เข้าใจ เช่น We will go
เมื่อเราทราบส่วนประกอบที่ต้องมีในประโยค Compound sentence แล้ว เรามาดูโครงสร้างกันดีกว่า

COMPOUND SENTENCE
Independent clause , FANBOYS  Independent clause

      นี่คือโครงสร้างของ Compound sentence หากเจอโครงสร้างแบบนี้ที่ไหนก็เดาได้เลยว่าใช่ Compound sentence แน่นอน